Martin Guitar หรือ C.F. Martin & Company
ประวัติ
ครอบครัวนี้ เป็นชาวเยอรมัน ได้อพยพ ย้ายถิ่นฐานมาจากเยอรมัน (Germany)
และ มาปักหลักอยู่ที่อเมริกา ใน New York เป็นที่แรก ในปี 1833 ก่อนจะย้ายมาที Nazareth, Pennsylvania ในปี 1838
ครอบครัว Martin เป็นครอบครัว ทำอาชีพช่างไม้ งานหลักคือ การทำฟอนิเจอร์ไม้ มาตั้งแต่ต้น
และได้เริ่มทำไวโอลิน (Violin) ในเวลาใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นเครื่องดนตรี ประเภทอะคูสติก ที่ได้รับความนิยมมาก ในเวลานั้น
ในยุคนั้น กีต้าร์โปร่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่น หรือ ช่างทำกีต้าร์โปร่ง ก็ตาม จะถูกมองว่าเป็นคนชั้นลอง(ชั้นทางสังคม)
ส่วนผู้เล่นไวโอลิน หรือเครื่องดนตรีที่ใกล้เคียงกันนี้ จะถูกยกให้เป็นคนอีกละดับหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าจะดูดี และมีระดับมากกว่า นั่นอาจจะเพราะว่า ดนตรี classic ได้รับความนิยม มากกว่าดนตรี Folk
เรียกว่า ดนตรี Folk สำหรับชนชั้นแรงงาน หากใครเดินเล่นกีต้าร์โปร่ง อาจจะถูกมองด้วยหางตา ประมาณว่า ของเล่นชนชั้นแรงงาน
ดังนั้น ทั้งกีต้าร์โปร่ง และคนทำกีต้าร์ จึงไม่ได้รับความนิยมแบบแพร่หลาย เช่นในสมัยนี้
แต่จะเล่นกันอยู่ชนชั้นแรงงาน เฉพาะกลุ่ม เท่านั้น
จุดกำเนิด Martin Guitar
Martin Guitar เริ่มต้นในปี 1833 โดย "Christian Frederick Martin" ในยุคต้นกำเนิด Martin Guitar เป็นเพียงธุรกิจเล็กๆใน New York
ทำมาค้าขายเครื่องดนตรี ในแบบหาเลี้ยงปากท้อง และครอบครัว ไม่ได้เป็นธุระกิจที่ใหญ่โต หรือมีชื่อเสียง
ยุคแรกๆ Martin เอง ก็ไม่ได้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในการสร้างกีต้าร์โปร่ง(Flap top)
อย่างที่ว่าไปแล้ว คือ ทาง Marin เอง เชียวชาญในการสร้างไวโอลิน(Violin) มากกว่าพวกกีต้าร์โปร่ง
แต่ว่าโชคดีที่ทาง Martin สนใจการสร้างกีต้าร์ มาตั้งแต่อายุ 15 ปี ในเวลานั้นเอง....
เขาได้รับวิชาการทำกีต้าร์ มาจาก Johan Stauffer ถือเป็นครูคนแรกของ Martin
( Johan Stauffer เป็นคนแรกๆ ที่มีความรู้ในการสร้าง Guitar , Violin และ Cello ในกรุง Vienna, Austria )
Martin ได้ลองสร้างกีต้าร์ ตามแบบอิทธิผลที่ได้รับการแนะนำ จาก Johan Stauffer
Stauffer Guitar ในยุคโบราณ ก่อนที่จะกลายมาเป็น กีต้าร์โปร่งสายเหล็ก หรือ Flat Top Guitar ในยุคต้นๆ ของ Martin จะพบว่า รูปแบบ และ เอกลักษณ์ ของ Martin Guitar จะมีความคล้ายกับ Stauffer Guitar อยู่หลายประการ เช่น รูปแบบของหัวกีต้าร์ หรือ Headstock, สายที่ใช้ใส่กีต้าร์ (Strings) ซึ่งจะใช้สายประเภทสายไนกัท (Nylgut Strings) คล้ายสายไนล่อนของกีต้าร์คลาสสิค ส่วน Bracing จะเป็น Fan Bracing เหมือนกับกีต้าร์ไนล่อน (clssic guitar) และรวมไปถึง Bridge ก็จะเป็นแบบ ปิรามิด (Pyramid)
ก้าวมาถึง ในช่วงปี คศ. 1840 ทาง Martin ได้เริ่มพัฒนากีต้าร์สายเหล็ก หรือ Flat Top แบบจริงๆ จังๆ
ในจุดนี้เอง คือ ก้าวย่างอันสำคัญ และยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ของ Martin Guitar
มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนา หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการคิดค้น "Bracing" แบบใหม่...
(Bracing คือโครงค้ำภายในตัวกีต้าร์ให้มีความแข็งแรง และมีส่วนสำคัญต่อลักษณะโทนเสียงด้วย)
จากเดิมที่เคยใช้ Fan-Bracing ก็หันมาใช้ "X-Bracing"
รูปแบบ "X Bracing" ที่ถูกคิดค้น และพัฒนาโดย Martin ซึ่งถือเป็นต้นแบบที่สำคัญต่อกีต้าร์โปร่งในยุคต่อๆมา
โดย X-Bracing ที่ว่านี้ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากอดีต มาถึงปัจจุบัน
มาถึงปี คศ. 1929 เป็นปีทีสำคัญอีกครั้ง ของ Martin Guitar ในเรื่องการปรับเปลี่ยนขนาดของกีต้าร์โปร่ง
จากเดิมที่ Martin เคยทำกีต้าร์โปร่งทรง O-size เป็นกีต้าร์คอ 12 fret เรียกแบบบ้านๆ ว่า "กีต้าร์คอสั้น ตัวยาว"
ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นกีต้าร์คอ 14 fret คือ การทำให้คอกีต้าร์ยาวขึ้น เพื่อให้สามารถเล่น note ได้สูงขึ้น
มีความหลากหลาย และมีรสชาติในการเล่น มากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญที่เดียว
ตามภาพประกอบข้างต้น คือ กีต้าร์ Martin ยุคโบราณ
จากเดิมกีต้าร์โปร่ง ทรง O-size ยุคดั้งเดิม จะมี scale 24.9" (วัดจาก nut มาถึง saddle)
เมื่อปรับเป็น 14 fret ความยาวจะเปลี่ยนเป็น 25.4" นิ้ว
ผู้จุดประกายให้ Martin ทำกีต้าร์โปรง คอยาว 14 fret ก็คือ "Perry Bechtel"
"Perry Bechtel" นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เขามีฝีไม้ลายมือ ในการเล่น Banjo เป็นอย่างมาก
ในขณะนั้น Perry Bechtel กำลังจะหันมาเล่นกีต้าร์โปร่ง จึงได้ร้องขอ/ แนะนำให้กับ Martin ว่า น่าจะทำกีต้าร์คอยาว 14 Fret
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม Perry Bechtel จึงอยากให้ Martin ทำกีต้าร์โปร่งคอยาว 14 fret ก็เพราะว่าเขาเล่น Banjo อยู่
คงจะไม่ถนัดที่จะเล่นกีต้าร์โปร่งคอสั้นแค่ 12 Fret เพราะเล่นโน๊ต ได้น้อยเกินไป
ณ ช่วงเวลานั้น กระแสความนิยม ในการเล่นกีต้าร์โปร่ง เริ่มมา ดนตรีสไตล์ Bluegrass /
Country Music / Folk เริ่มเฟื้องฟูอย่างต่อเนื่อง กีต้าร์ Martin ก็เริ่มโด่งดังในยุคนี้ เช่นกัน
ถามว่า ทำไม Martin Guitar ถึงได้โด่งดังในยุคนั้นมากๆ คำตอบที่ผมคิด ก็น่าจะเพราะว่า
Martin ได้ทำกีต้าร์โปร่ง (Flat Top) ได้ล้ำสมัยกว่าใครๆ ในยุคนั้น
ทั้งด้านการออกแบบ ทั้งด้านเทคนิค การทำให้เกิดเสียงที่สมบูรณ์แบบ ถูกใจผู้เล่น ฯลฯ
" Martin D-28 จุดกำเนิดของกีต้าร์ ทรงมาตรฐาน (Dreadnought) " ต้นแบบของกีต้าร์โปรง ทุกยุค ทุกสมัย
ในช่วงที่ดนตรีประเภท bluegrass (country music) เฟื้องฟู เป็นที่นิยมเล่น
กีต้าร์สายเหล็ก (flap top) จึงเป็นเครื่องดนตรีอีกชิ้น ที่ร่วมเล่นในวง bluegrass
เครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้นในวง Bluegrass จะให้เสียงที่ดัง ซึ่งมันดังมาก
ไม่ว่าจะเป็น fiddle, banjo, mandolin, หรือ Dobro ก็ตาม
เครื่องดนตรีเหล่านี้ กลบเสียงกีต้าร์โปร่งสายเหล็ก อย่าง O-size สะจนกลายเป็นแค่ไม้ประดับในวง เท่านั้น
กีต้าร์ขนาด O-size จึงไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการของผู้เล่นได้ (ทั้งขนาดและโทนเสียง)
ทาง Martin จึงได้ออกกีต้าร์ ทรง Dreadnought มาเพื่อสามารถให้เสียงที่ดัง
สามารถเล่นแข่ง/ส่งเสีงดัง เพื่อสู้กับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ ในวง Bluegrass ได้
Martin Guitar ทรง Dreadnought ถูกเริ่มคิดค้น ในปี 1915-1930 เรื่อยมา
และ มาลงตัวสมบูรณ์แบบ ในปี 1934 คือ Martin D-28 (14 fret)
ถ้าพูดถึง กีต้าร์ทรงมาตรฐาน ก็คือ ทรงเดทนอท (Dreadnought) บ้างเรียกกันย่อๆว่า "กีต้าร์ทรง D"
ซึ่งเป็นกีต้าร์ ทรงยอดนิยม ที่สุด และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุด
คุณสมบัติอันโดดเด่นของกีต้าร์ทรง Dreadnought ก็คือ
สามารถตอบสนองการเล่นได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสไตล์ดนตรีแบบไหน
ก็สามารถตอบสนองได้เป็นอย่างดี เรียกว่า over all จะเล่นสไตล์การเล่นแบบ strumming
หรือ finger picking ก็ตอบสนองหรือถ่ายทอดเสียงได้อย่างดี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น