เบสไฟฟ้าจัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดหลังเครื่องดนตรีอื่นๆในประเภทวงสตริงคือสร้างขึ้นหลัง กีตาร์ กลอง คีย์บอร์ดหรือซินธิไซเซอร์ (รายละเอียดจะมีในหัวข้อประวัติ) เครื่องดนตรีประเภทเบสที่ใช้กันในวงดนตรีและแนวต่างๆก็จะมี เบสไฟฟ้า เบสโปร่งไฟฟ้า fretless bass (เบสไม่มีเฟรต) และ double bass, upright bass บ้างทีก็เรียกกันว่า acoustic bass แต่ก็มีภาษาพูดเรียกกันติดปากสำหรับนักดนตรีบางคนว่า เบสใหญ่เบสไฟฟ้าที่ใช้โดยทั่วไปจะมี 4 สาย 5 สาย และ 6 สาย ส่วนสายที่มากไปกว่านี้ก็มีเนื่องจากนักดนตรีบางคนอาจจะออกแบบเพื่อประยุกต์ใช้ทางการเล่นเฉพาะตัว
เบส 4 สายการตั้งสายตามมาตรฐานคือ E-A-D-G (เรียงจากต่ำ-สูง) เบส 5 สายคือ B-E-A-D-G ส่วน 6 สายคือ B-E-A-D-G-C แต่อย่างไรก็ตามเบสก็ได้ถูกขยายขอบเขตออกไปตามแนวคิดและการประยุกต์ใช้ของมือเบสต่างๆ จำนวนสายก็อาจจะมีอื่นๆอีก เช่น 3สาย, 7 สาย, 8 สาย ,9 สาย เป็นต้น
เมื่อกล่าวถึง Bass line เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรี โดยเริ่มได้ยิน เช่นในบทเพลงของ J.S. Bach ระหว่างปี 1685-1750 ซึ่ง bass line มีความ สำคัญเฉกเช่นเดียวกับในส่วนของ soprano , alto , tenor เลยที่เดียว โดยในดนตรีคลาสสิก และ ออเครสตร้า เสียงเบสจะถูกกำหนดขึ้นโดยเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า upright bass หรือ bass viola ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรก
ส่วนประกอบ
1.Tunning คือตัวปรับสาย ตั้งสาย
2.Nut คือสะพานสาย ด้านบน เฟร็ตที่ 0 หรือสายเปล่า มีหลายชนิดให้เสียงที่ต่างกัน
3.Fingerboards เป็นที่ๆให้เรากดเคลื่อนตัวโน๊ต มีไม้หลายชนิดให้ลักษณะของเสียงที่ต่างกันเช่นกัน
4.Frets เหล็กตามช่อง ความยาวของคอมีหลายขนาด มาตรฐาน ของ เบส 4 สาย จะเป็น Scale 34 หมายถึง จากนัดจนถึง สะพานสายยาว 34 นิ้ว
5.Bridge หรือสะพานสาย มีหลายชนิด ทั้งแบบแยกอิสระ หรือติดกัน วัสดุก็ต่างกัน ใช้ในการตั้ง Action Notation
6.Body หรือตัวเบส ทำจากเนื้อไม้เป็นส่วนใหญ่ มีหลายชนิดให้เสียงต่างๆ กัน ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกซื้อเบส
7.Pickup ตัวรับเสียงเป็นแถบแม่เหล็กไว้แปลสัญญาณการสั่นของสายออกมาเป็นเสียง มีหลายแบบ ให้เสียงที่ต่าง ๆกัน
8.Truss Rod ที่ไขคอ อาจอยู่ด้านหัวหรือปลายก็ได้ ไว้ ไขปรับความโค้งของคอ เป็นน๊อตรูป หกเหลี่ยม
ลักษณะของเบส
เบส คือเครื่องดนตรีไฟฟ้าประเภทสายที่มีการกำเนิดเสียงด้วยเครื่องขยายเสียง โดยเสียงของเบสจะเป็นเสียงต่ำที่ให้ความหนักแน่นปกติเบสไฟฟ้าจะมี 4 สาย แต่ปัจจุบันได้มีการทำเบส 5-12 สาย ซึ่งเบสชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้ในการโซโล หรือเมื่อผู้เล่นต้องการโชว์เทคนิคขั้นสูง เพราะการที่มีสายมาก คอก็จะกว้างมากขึ้น และเหมาะสำหรับแนวเพลงที่หนักขึ้น
หน้าที่ของเบส
หน้าที่ของเบสในวงดนตรีคือการให้เสียงที่เป็นรากฐานของคอร์ดนั้นๆ เบสต้องทำหน้าที่ทั้งรักษาจังหวะแล้วก็ช่วยโอบอุ้มวงไว้ เบสจึงมีความสำคัญมาก ถ้าเล่นผิดเพลงจะฟังเพี้ยนทันที ไม่กระชับ ไม่เป็นเพลงเลย
ส่วนประกอบ
1.Tunning คือตัวปรับสาย ตั้งสาย
2.Nut คือสะพานสาย ด้านบน เฟร็ตที่ 0 หรือสายเปล่า มีหลายชนิดให้เสียงที่ต่างกัน
3.Fingerboards เป็นที่ๆให้เรากดเคลื่อนตัวโน๊ต มีไม้หลายชนิดให้ลักษณะของเสียงที่ต่างกันเช่นกัน
4.Frets เหล็กตามช่อง ความยาวของคอมีหลายขนาด มาตรฐาน ของ เบส 4 สาย จะเป็น Scale 34 หมายถึง จากนัดจนถึง สะพานสายยาว 34 นิ้ว
5.Bridge หรือสะพานสาย มีหลายชนิด ทั้งแบบแยกอิสระ หรือติดกัน วัสดุก็ต่างกัน ใช้ในการตั้ง Action Notation
6.Body หรือตัวเบส ทำจากเนื้อไม้เป็นส่วนใหญ่ มีหลายชนิดให้เสียงต่างๆ กัน ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกซื้อเบส
7.Pickup ตัวรับเสียงเป็นแถบแม่เหล็กไว้แปลสัญญาณการสั่นของสายออกมาเป็นเสียง มีหลายแบบ ให้เสียงที่ต่าง ๆกัน
8.Truss Rod ที่ไขคอ อาจอยู่ด้านหัวหรือปลายก็ได้ ไว้ ไขปรับความโค้งของคอ เป็นน๊อตรูป หกเหลี่ยม
ลักษณะของเบส
เบส คือเครื่องดนตรีไฟฟ้าประเภทสายที่มีการกำเนิดเสียงด้วยเครื่องขยายเสียง โดยเสียงของเบสจะเป็นเสียงต่ำที่ให้ความหนักแน่นปกติเบสไฟฟ้าจะมี 4 สาย แต่ปัจจุบันได้มีการทำเบส 5-12 สาย ซึ่งเบสชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้ในการโซโล หรือเมื่อผู้เล่นต้องการโชว์เทคนิคขั้นสูง เพราะการที่มีสายมาก คอก็จะกว้างมากขึ้น และเหมาะสำหรับแนวเพลงที่หนักขึ้น
หน้าที่ของเบส
หน้าที่ของเบสในวงดนตรีคือการให้เสียงที่เป็นรากฐานของคอร์ดนั้นๆ เบสต้องทำหน้าที่ทั้งรักษาจังหวะแล้วก็ช่วยโอบอุ้มวงไว้ เบสจึงมีความสำคัญมาก ถ้าเล่นผิดเพลงจะฟังเพี้ยนทันที ไม่กระชับ ไม่เป็นเพลงเลย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น